Property Insight

ผู้ค้ำประกัน หรือ มีผู้กู้ร่วม ต่างกันอย่างไร??

อย่าให้การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นแค่ความฝัน!! การมีบ้าน หรือ มีคอนโดเป็นของตัวเองสักหลังน่าจะเป็นความฝันของเพื่อนๆ หลายๆ คน บางคนก็สามารถที่จะซื้อได้ด้วยตัวเองลำพัง แต่สำหรับบางคนอาจจะเจอกับกำแพงของการยื่นสินเชื่อที่ไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากรายได้ หรือการประเมินการชำระค่าใช้จ่ายจากทางธนาคาร  ซึ่งหากอยากที่จะได้บ้านในฝันก็อาจจะต้องหาตัวช่วยเพิ่ม ไม่ว่าเป็นการหาผู้กู้ร่วม หรือการหาผู้ค้ำประกันนั่นเอง

เรามารู้จักกันดีกว่าว่าการซื้อบ้านแบบมีผู้ค้ำประกัน หรือมีผู้กู้ร่วมต่างกันอย่างไร ?

ค้ำประกันคืออะไร?

การค้ำประกัน หมายถึงการประกันการชำระหนี้ด้วยบุคคลอันเป็นสัญญาประเภทหนึ่ง ซึ่งบุคคลอื่นนอกเหนือจากเจ้าหนี้และลูกหนี้ยอมตกลงกับเจ้าหนี้ว่าหากลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ ตนจะยอมชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ เป็นการเอาความน่าเชื่อถือหรือความมีฐานะทางการเงินของตนเองเข้าประกันจะชำระหนี้ให้ บุคคลนี้เรียกว่า “ผู้ค้ำประกัน”

กู้ร่วมคืออะไร?

การกู้ร่วม คือ การที่มีผู้กู้เพิ่มเข้ามาร่วมเซ็นสัญญายื่นกู้ทรัพย์สินชิ้นเดียวกัน  เพื่อแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่าผู้ร่วมรับภาระหนี้มีความสามารถทางการเงินเพียงพอที่จะผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนได้ตามสัญญา ซึ่งจะทำมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะได้รับการอนุมัติจากสถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินจะนำข้อมูลทางการเงินไม่ว่าจะเป็นรายได้ และภาระหนี้สินของผู้กู้ร่วมมาช่วยพิจารณาด้วยนั่นเอง

ความแตกต่างระหว่างผู้กู้ร่วม และผู้เค้าประกัน

ผู้ค้ำประกัน                                                           

จะเป็นใครก็ได้สามารถมาเป็นคนค้ำประกันได้หมด สถาบันการเงินจะไม่นำคุณสมบัติทางการเงินมาร่วมอนุมัติสินเชื่อ ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินของผู้กู้เลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถนำดอกเบี้ยของผู้กู้ไปลดหย่อนภาษีได้เนื่องจากไม่ได้มีส่วนร่วมในการผ่อนชำระหนี้  

     ผู้กู้ร่วม

ต้องเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันเท่านั้น เช่น พ่อ  แม่ พี่ น้อง ลูก หรือคนที่มีนามสกุลเดียวกัน สถาบันการเงินจะนำข้อมูลทางการเงินมาร่วมพิจารณาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ  และมีสิทธิในทรัพย์สินที่ผู้กู้ได้ทำการขอสินเชื่อไว้ หากมีส่วนร่วมในผ่อนชำระหนี้สิน สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้

เมื่อเห็นข้อแตกต่างแล้วจะเห็นได้ว่า การค้ำประกันจะมีความเสี่ยงสูงกว่า หากลูกหนี้ผิดชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็จะสามารถเรียกร้องให้ผู้คำประกันเป็นผู้ชำระแทนได้ ซึ่งอาจจะทำให้เดกิดการผิดใจกัน หรือเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ดังนั้นหากต้องการใช้ผู้ค้ำประกัน ควรจะต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของตนด้วย

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก MoneyGuru.co.th

Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *